Agnes Arellano has been engaged in sculptures since 1983 and continues with fervour for forty years, hence, at age 75. She graduated with a degree in Psychology at UP Diliman where she returned a decade later to pursue her first love, sculpture. Though she uses clay, her material is mainly plaster, both for livecasting her own body and body parts, and direct modelling or using plaster as modelling material. Her first exhibit, Temple to the MoonGoddess, was composed of 24 white pieces in one environment which she calls an inscape, where the viewer, instead of circling around a piece, is surrounded by disparate pieces which he gestalts into the overall meaning. It is a treatise on the Feminine principle in religion, the start of a lifelong search for the Sacred Feminine and Eros, a much forbidden topic growing up in a Catholic country. She draws inspiration from comparative mythologies, world religions, archeological evidence, and science fiction. She has produced many fantasy self portraits where she merges her real life traumas or experiences into mythological characters like the multi breasted Dea to express her midlife crisis; or the headless butchered beast in Carcass Cornucopia to memorialize a botched caesarean surgery chronicling milestones ŵhere she used Art for healing. Her pieces are in the collection of Fukuoka Asian Art Museum, the Singapore Art Museum, as well as the National Museum and Pinto Art Museum in the Philippines while a granite Moon goddess Haliya lies beside the Naru River in Busan , South Korea. She has participated in numerous international exhibitions and biennials in Berlin, Fukuoka, Havana 5 and 6, Johannesburg, New York, Brisbane and Singapore.
แอกเนส อาเรลลาโน เริ่มงานด้านประติมากรรมในปี พ.ศ.2526 แล้วทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับงานนี้มาตลอดสี่สิบปีจวบจนถึงวัย 75 ปีในวันนี้ เธอสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาจิตวิทยาที่ UP Diliman และกลับมาที่นี่อีกครั้งในหนึ่งทศวรรษต่อมาเพื่อตามหาความรักครั้งแรกของเธอ นั่นคืองานประติมากรรม แม้ว่าจะมีการใช้ดินเหนียวทำงาน แต่ส่วนใหญ่เธอจะใช้ปูนปลาสเตอร์ในการหล่อร่างกายและส่วนต่างๆ ของตัวเอง รวมถึงการปั้นโดยตรง หรือใช้ปูนปลาสเตอร์เป็นวัสดุในการสร้างแบบจำลอง
งานแสดงครั้งแรกของเธอ คือ Temple to the Moon Goddess ประกอบด้วยผลงานสีขาว 24 ชิ้นจัดวางในสภาพแวดล้อมที่เธอเรียกว่า inscape ซึ่งผู้ชมจะถูกล้อมรอบด้วยผลงานต่างๆ แทนที่จะเดินวนรอบชิ้นงาน เพื่อให้ผู้ชมเข้าใจความหมายโดยรวม ผลงานนี้เป็นบทความเกี่ยวกับหลักการของผู้หญิงในหลักศาสนา เป็นจุดเริ่มต้นของการค้นหาตลอดชีวิตสำหรับพลังศักดิ์สิทธิ์ของความเป็นเพศหญิงและเทพอีรอส เทพเจ้าแห่งความรัก ซึ่งเป็นหัวข้อต้องห้ามในประเทศที่เติบโตมาในศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก เธอได้รับแรงบันดาลใจจากตำนานเปรียบเทียบ ศาสนาโลก หลักฐานทางโบราณคดี และนิยายวิทยาศาสตร์
เธอได้สร้างสรรค์ภาพเหมือนตนเองในจินตนาการภาพที่หลากหลาย ที่ผสมผสานประสบการณ์หรือบาดแผลในชีวิตจริงของเธอเข้ากับตัวละครในตำนาน เช่น รูป Dea หลายหน้าอก แสดงถึงวิกฤตวัยกลางคนของเธอ หรือรูปปั้นผู้หญิงไร้หัวที่ถูกผ่าท้องในงาน Carcass Cornucopia เพื่อรำลึกถึงการผ่าตัดคลอดที่ผิดพลาด เป็นการบอกเล่าเหตุการณ์สำคัญในชีวิตซึ่งเธอใช้ศิลปะเยียวยาตัวเอง
ผลงานของเธออยู่ในคอลเล็กชันของพิพิธภัณฑ์ศิลปะเอเชียฟุกุโอกะ พิพิธภัณฑ์ศิลปะสิงคโปร์ ตลอดจนพิพิธภัณฑ์แห่งชาติและพิพิธภัณฑ์ศิลปะปินโตในฟิลิปปินส์ ขณะที่เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ฮาลียาแกะสลักจากหินแกรนิตตั้งอยู่ริมแม่น้ำนารูในปูซาน เกาหลีใต้ เธอได้เข้าร่วมแสดงนิทรรศการระดับนานาชาติและเทศกาลเบียนนาเล่หลายครั้งในกรุงเบอร์ลิน ฟุกุโอกะ ฮาวานา ครั้งที่ 5 และครั้งที่ 6 โจฮันเนสเบิร์ก นิวยอร์ก บริสเบน และสิงคโปร์