Within museum display cabinets, Dusadee Huntrakul presents a site-specific installation A Verse for Nights showing his works of various mediums together with artifacts and fossils. Through subtle details and humorous undertones, the installation functions like a long sentence that narrates a tale of humanity's evolution, urging us to contemplate our place within this expansive timeline. The artist’s story perhaps starts from the beginning of the universe, or even before the asteroid hit the Yucatan gulf, and brings us to prehistory, to the present, then beyond. The language of this installation, fragmented with historical echoes and pauses, akin to a nighttime poem of interconnectedness.
Curated objects such as Ban Chiang bracelets and Judd-inspired shelves reference Huntrakul's previous works, paying homage to humanity's inherent capacity for artistic expression and storytelling. Broken hands and pottery fragments allude to the pivotal role of our hands in crafting tools, rituals, furniture, and weapons - the earliest technologies that set us apart and has driven our progress for thousands of years. Seashells casted from those collected from Pattaya beach, likely over a century old, would have witnessed the peak of the area as a tropical paradise during the Vietnam war. Juxtaposed with contemporary items, like colored pencils, the artist reminds us that today's mundane objects will become tomorrow's artifacts, and traces the journey of culture through time, leading us into the future with a sculpture of a multiple-tailed lizard, images of UFO encounters, and his six-year-old son's drawings.
Huntrakul has exhibited internationally, including Singapore Biennale 2019; Thailand Biennale 2018; SUNSHOWER, Mori Art Museum (Japan, 2017), among others.
ดุษฎี ฮันตระกูลนำเสนองานศิลปะจัดวางเฉพาะที่ A Verse for Nights ในตู้แสดงงานศิลปวัตถุของพิพิธภัณฑ์ แสดงผลงานที่ใช้สื่อหลากหลายประเภทของเขาร่วมกับศิลปวัตถุและฟอสซิล ด้วยรายละเอียดที่เฉียบแหลมและความหมายซ่อนเร้นที่น่าขบขันงานศิลปะจัดวางชิ้นนี้ทำหน้าที่เหมือนประโยคยาว ๆ ที่เล่าเรื่องราววิวัฒนาการมนุษย์ กระตุ้นให้เราพิจารณาว่าเราอยู่ที่ใดในเส้นเวลาที่ยาวนานนี้ เรื่องราวที่ศิลปินเล่าน่าจะเริ่มต้นจากจุดกำเนิดของจักรวาลหรือก่อนที่อุกกาบาตจะพุ่งชนอ่าวยูกาตัน นำไปสู่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ต่อมาจนถึงปัจจุบันและเลยต่อไป ภาษาของงานศิลปะจัดวางซึ่งสลับด้วยเสียงสะท้อนและจังหวะหยุดทางประวัติศาสตร์ชิ้นนี้เป็นเหมือนบทกวียามราตรีเรื่องความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
วัตถุที่เลือกมาจัดแสดงอย่างสร้อยข้อมือสมัยบ้านเชียงและชั้นวางที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Judd-inspired อ้างอิงถึงผลงานก่อนหน้านี้ของดุษฎี เป็นการสรรเสริญความสามารถในตัวมนุษย์ด้านการแสดงออกทางศิลปะและการเล่าเรื่อง มือที่บาดเจ็บและเศษเครื่องปั้นดินเผาแสดงให้เห็นบทบาทสำคัญของมือคนเราในการประดิษฐ์เครื่องใช้ พิธีกรรม เฟอร์นิเจอร์และอาวุธซึ่งล้วนแต่เป็นเทคโนโลยีสมัยแรกสุดที่ทำให้มนุษย์เราแตกต่างจากสัตว์อื่นและได้ขับเคลื่อนความเจริญก้าวหน้าของเรามาหลายพันปี เปลือกหอยซึ่งหล่อจากต้นแบบที่เก็บจากชายหาดเมืองพัทยาอายุเก่าแก่กว่าหนึ่งศตวรรษน่าจะได้พบเห็นสมัยที่บริเวณนี้รุ่งเรืองที่สุด เป็นสวรรค์เมืองร้อนสมัยสงครามเวียดนาม เมื่อนำมาจัดวางร่วมกับสิ่งของสมัยปัจจุบันอย่างดินสอสี ศิลปินก็ได้เตือนให้เราคิดว่าสิ่งของธรรมดา ๆ ในวันนี้จะกลายเป็นศิลปวัตถุในวันพรุ่งนี้และย้อนรอยการเดินทางของวัฒนธรรมผ่านกาลเวลา นำเราไปสู่อนาคตด้วยผลงานประติมากรรมรูปกิ้งก่าหลายหาง ภาพการพบวัตถุบินได้ที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้และภาพวาดลายเส้นฝีมือลูกชายวัยหกขวบของเขา
ผลงานของดุษฎีจัดแสดงทั่วโลก อาทิ สิงคโปร์เบียนนาเล่ (พ.ศ. 2562) ไทยแลนด์เบียนนาเล่ (พ.ศ. 2561) นิทรรศการ SUNSHOWER (พิพิธภัณฑ์ศิลปะโมริ, ญี่ปุ่น, พ.ศ. 2560) และอื่น ๆ